ประวัติ ของ คอนโก กุมิ

Kongō Gumi (คอนโก กุมิ) เป็นบริษัทรับจ้างก่อสร้างวัดและศาลเจ้า ก่อตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ปี พ.ศ. 1121 โดยช่างไม้ชื่อ Shigemitsu Kongo จุดเริ่มต้นคือเขาได้รับว่าจ้างจากราชสำนักให้สร้างวัดพุทธขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาก็ได้สร้างวัด Shitennō-ji ในจังหวัดโอซาก้าขึ้นมา และผลงานเป็นที่ชื่นชมมาก เขาจึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Kongō Gumi เพื่อรับงานสร้างวัดอย่างจริงจัง

นับจากวันนั้น ศาสนาพุทธก็แพร่หลายในญี่ปุ่น ธุรกิจ Kongō Gumi จึงมีงานสร้างวัด ศาลเจ้า และปราสาทต่าง ๆ เข้ามาอยู่ตลอด ด้วยความที่ผลงานเป็นที่ประจักษ์ Kongō Gumi เลยมีงานให้ทำไม่หยุดหย่อน ยิ่งคนญี่ปุ่นมีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนามากขึ้นเท่าไร ธุรกิจของ Kongō Gumi ก็ยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น วัดชื่อดังหลายแห่งในญี่ปุ่นก็เป็นผลงานของพวกเขา รวมถึงปราสาทโอซาก้าที่เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตด้วย

Kongō Gumi ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน สืบทอดมาถึง 40 รุ่น มีการคัดเลือกทายาทที่เหมาะสม มีทั้งผู้สืบทอดที่เป็นลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านการพิจารณาว่ามีภาวะผู้นำที่ดี และบริษัทยังมีการปรับตัวในยุควิกฤต เช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คนไม่สนใจจะสร้างวัด บริษัทก็หันมาต่อหีบศพขายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด พอเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ พวกเขาก็เริ่มสร้างวัดด้วยคอนกรีตแทนไม้ โดยยังคงความงามของศิลปะดั้งเดิมไว้อยู่

ฟังดูเป็นธุรกิจครอบครัวที่สุดแข็งแกร่งเหมือนหินผา แต่ก็อย่างที่พุทธศาสนาได้สอนไว้นั่นแหละครับ "ใด ๆ ในโลกล้วนไม่จีรัง" ช่วงปี พ.ศ. 2523 เกิดวิกฤตฟองสบู่แตก ทำให้บริษัทมีหนี้มหาศาล และที่สำคัญคือพุทธศาสนาในญี่ปุ่นไม่ได้งอกงามอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเสื่อมถอยลงจนน่าใจหาย ความต้องการสร้างวัดใหม่ ๆ แทบไม่มี ในเมื่อพวกเขาเชี่ยวชาญการสร้างวัดมากที่สุด ทำมาเป็นพันปี จะให้เปลี่ยนไปสร้างอย่างอื่นก็สู้ไม่ไหว สุดท้ายบริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ต้องปิดตำนานลงในปี พ.ศ. 2549 อายุรวม 1,429 ปี ปัจจุบันถูกขายให้กับบริษัท Takamatsu

เรียกได้ว่า Kongō Gumi นั้นเกิดมาพร้อมพุทธศาสนาในญี่ปุ่น และก็ถดถอยไปพร้อมกันด้วย คงเหลือไว้แต่วัดและปราสาทให้คนกล่าวขานถึงเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตแบบไหนก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป แม้แต่ธุรกิจที่เก่าแก่ยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ชาติไทย ยังต้องพ่ายแพ้เหลือแค่ตำนาน ไม่ใช่เพราะพวกเขา "ไม่ดี" แต่เพราะพวกเขา "ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว" ต่างหาก